วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

กอดกันง่ายกว่าที่คิดเยอะ

เมื่อสามวันที่แล้วผมกลับมายังห้องพัก เหนื่อยหน่ายกับงานที่ไม่มีวันหมดสิ้น นั่งลงแล้วก็เปิดคอมพ์พิวเตอร์ ผมคลิกไปที่เว็ป youtube คลิปแรกที่เห็นเป็นรูปชายผมยาวไว้หนวดเคราถือป้าย Free Hugs (กอดฟรี) นึกในใจสารรูปแบบนี้เนี่ยนะใครจะมากอดมันว่ะ? อืมแต่ก็เป็นความคิดที่แปลก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงลองคลิกดู ในตอนนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโครงการกอดฟรีอะไรของหมอนี่เลย แต่หลังจากที่วีดีโอคลิปฉายจบสิ้นลงผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที (จริงๆแล้วขนลุกตั้งแต่ยายที่มากอดเป็นคนแรกแล้วหละ) ผมนั่งอยู่เงียบๆสักพักซึมซับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาทางโสดประสาทสักครู่ อะไร?มาดลใจให้หมอนี่คิดทำแบบนี้ ด้วยความที่เป็นคนที่มีมุมมองค่อนข้างแปลกและมีอารมณ์ที่อ่อนไหวอยู่แล้ว ผมรู้สึกปลาบปลื้มกับสิ่งที่หมอนี่ทำ เข้าใจในเหตุและผลที่หมอนี่ทำ และอยากลองทำแบบหมอนี่ทันที ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนแก่ หรือเชื้อชาติไหน ขอแค่มากอดกัน แบ่งปันความรู้สึกอบอุ่นให้แก่กันก็พอ
แน่นอนว่าคนเราทุกคนรู้จักกับความรู้สึกที่มีใครสักคนมากอดตั้งแต่ยังเล็ก ความรู้สึกเวลาที่ถูกกอดมันอบอุ่น มีความสุข ฯลฯ นานับประการ แต่พอโตขึ้นหละและยิ่งกับคนไทยแล้วการที่จะมากอดกันกลับกลายเป็นเรื่องแปลกไปเลย และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมทำการค้นหาเรื่องราวของหมอนี่ทันที และแปลกใจที่โครงการนี้มีมาตั้งแต่ ปี 2006 แล้ว และตอนนี้ก็ลามไปหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย ผมไล่ดูวีดีโอคลิป free hugs (กอดฟรี) ของแต่ละประเทศแล้วก็ยิ่งรู้สึกขนลุก

มาลองรู้จักโครงการกอดฟรีกันสักหน่อย (Free Hugs Campaign) หรือโครงการกอดฟรี เป็นแนวความคิดเกิดขึ้นโดย ผู้ที่ใช้ชื่อว่า ฆวน มานน์ (Juan Mann ซึ่งหมายถึง ผู้ชายคนหนึ่ง) เป็นแคมเปญการกอดฟรี กับคนที่ไม่รู้จักกันโดยทำป้ายที่เขียนว่า Free Hugs และๆไปยืนให้คนกอดเท่านั้น ซึ่งกระแส “Free Hugs” ได้รับการเผยแพร่ไปยังหลายๆ ประเทศอย่างรวดเร็ว ทั้งสหรัฐอเมริกา อิตาลี เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน และ ประเทศไทย หลังจากมีการประชาสัมพันธ์ผ่านบนเว็บไซต์ยูทูบเมื่อเดือนกันยายน 2550 มียอดผู้เข้าชมถึงกว่า 15 ล้านครั้ง ในช่วง 3 เดือนต่อมา และ ณ ปัจจุบันนี้มีมากกว่า 32 ล้านครั้งแล้ว







เหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มโครงการนี้ก็มีอยู่ว่า นายฆวน มานน์ (Juan Mann) ที่อาศัยอยู่ในลอนดอนและต่อมาเดินทางกลับบ้านที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินได้เห็นผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างมารอรับ เพื่อน ญาติและครอบครัว ยิ้มและโอบกอดกัน แต่ตัวเขาเองไม่มีใครมารอรับ ทำให้เขาอยากจะมีใครสักคนมาคอยเขากลับมา ยิ้มให้เขาและกอดเขา
เขาจึงหาการ์ดบอร์ดเขียนคำว่า "Free Hugs" ทั้ง 2 ด้าน หลังจากเวลาเดินทางไปแล้ว 15 นาที ผู้คนเริ่มมองมาที่ตัวเขา และมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาบอกเขาว่า "เมื่อเช้านี้สุนัขของฉันเพิ่งตาย เช้านั้นครบรอบวันเสียชีวิตของลูกสาวคนเดียวที่จากไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอรู้สึกเหงา และโดดเดี่ยว" ฆวนคุกเข่าลงและกอดหญิงสาวคนนั้น หลังจากนั้นทั้งสองก็ยิ้มให้กันและเดินจากกันไป เท่านั้น?


มันเท่านั้นจริงๆหรอ? ไม่หรอกมันไม่เท่านั้น โดยเฉพาะความรู้สึกของผมที่มีต่อความคิดแนวนี้ มันแปลกและสร้างสรรค์มาก การที่ใครสักคนถือป้ายให้กอดฟรีกลางทางเดินที่คนหลายสิบหลายร้อยคนที่ไม่รู้จักเดินผ่านไปมานี่ผมนับถือเลยว่ากล้ามาก คนที่เดินผ่านไปมาก็คงจะงง ทำไปเพื่ออะไร? บ้าเปล่า จะว่าบ้าก็ได้นะ ออกรายการทีวีหรอ สาระแนโชว์ก็ไม่ใช่
ในความคิดของหมอที่ถือป้ายคงจะประมาณ คือกูอยากให้มีคนมากอดอะ ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ ขอแค่กอด มากอดเร็วสิว่ะ เหนื่อยแล้วนะโว้ย! แล้วหลังจากที่คนมากอดหละ รู้สึกยังไง?
คนที่มากอดก็เหมือนกัน รู้สึกอะไรอยู่? คงเหงามั้ง อยากดังหรอ โรคจิต และยิ่งเฉพาะกับคนไทยด้วยแล้วคงคิดไปต่างๆนาๆ เพราะมันขัดกับวัฒนธรรมที่ใครหลายคนบอกว่าแสนดีงามของเรา
ผมว่ามันไม่ทั้งหมดหรอกนะ ก็จริงอยู่การที่เราจะกอดใครสักคนที่เป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่รู้ซึ่งความคิดของคนๆนั้น มันก็น่ากลัวอยู่ แต่ก็โชคดีที่ทุกวันนี้การที่เห็นคนมายืนถือป้ายกอดฟรี อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกของใครหลายๆคนแล้ว ใครหลายคนอาจเขินอาจและอาจไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แค่กอดกัน ไม่เห็นจะสร้างสรรค์อะไรเลย
ขอแนะนำว่าลองทำดูครับ ถ้าเจอใครที่ถือป้ายนี้อยู่ลองเข้าไปกอด และก่อนจะเข้าไปทำใจให้ผ่อนคลาย ให้รู้สึกว่าถึงยังไงโลกที่โหดร้ายใบนี้ก็ยังมีสิ่งดีๆอยู่ สิ่งดีๆที่ว่ายืนอยู่ตรงนั้นแล้วพร้อมความรู้สึกดีๆที่พร้อมจะมอบให้เพียงแค่เดินเข้าไปกอดเขา จากนั้นแล้วคุณจะรู้สึกว่ามันง่ายนิดเดียวที่คนเราจะกอดกัน ทำดีต่อกัน แล้วจากนั้นต่อไปอีกคุณก็จะเห็นว่าพ่อ แม่ ญาติพี่น้องของคุณ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ยืนถือป้ายรอให้คุณเข้าไปกอดอีกต่อไป
ลองทำดูนะครับมันง่ายนิดเดียว